หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้และการสร้างแผนภาพการจัดตำแหน่งหรือที่ผู้เขียนเรียกว่า Alignment diagram เพราะผู้เขียนเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างๆ แล้วเขาพบปัญหาที่ว่าเวลาที่ลูกค้าต้องการโทรคุยกับบริษัทแล้วเกิดการโอนสายไปมาระหว่างแผนกต่างๆ ตรงนี้ถ้าเปรียบได้กับการทำงานร่วมกันขององค์กรก็คือการทำงานแบบ Silo หรือการทำงานแบบแยกส่วน ถ้านึกถึงไซโลก็คือ ท่อที่เป็นที่ยุ้งฉาง ในองค์กรใหญ่ๆมักจะมีปัญหาแบบนี้เพราะแบ่งหน้าที่กัน เช่น ฝ่ายวิศวกรรมก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับแผนกบัญชี หรือแผนกอื่นๆ เพราะบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง

หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยการแนะนำแผนภาพแบบต่างๆ เช่น Service blueprints, Customer Journey Map, Experience Maps, Mental Model Diagrams และ Spatial Maps ตอนช่วงแรกที่อ่านผมก็ยังแยกความแตกต่างไม่ออกระหว่าง Customer Journey Map กับ Experience Maps ว่ามันต่างกันอย่างไร ผู้เขียนได้เล่าว่ามันมีส่วนที่คล้ายกันถ้าเรามองเป็นภาพรวม ซึ่งเขาเรียกว่า Value-centered design ซึ่งจะแยกออกเป็น 3 ส่วน คือ Indiviauls, interaction และ organizations ตัวนี้ครับเป็นองค์ประกอบของ Alignment diagram ต่างๆ นั่นก็คือ ส่วน Individuals ก็คือส่วนของประสบการณ์ผู้ใช้หรือลูกค้า ส่วน Interaction ก็คือส่วนที่เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับองค์กร นั่นก็คือ Touchpoints นี่เอง เช่นลูกค้าติดต่อเราผ่านทางใดได้บ้าง เช่น ทางคออมพิวเตอร์ อีเมล โทรศัพท์ การสนทนา หรือ การนัดหมายในปฏิทิน Touching เปรียบเสมือนความต้องการของลูกค้า ณ เวลาและสถานที่หนึ่งๆ เช่น ลูกค้าต้องการซื้อกาแฟจากเราก็จะเดินมาสั่งซื้อที่หน้าเคาว์เตอร์โดยตรง ส่วนสุดท้ายก็คือองค์กร อันนี้ก็จะพูดถึงว่าองค์กรสร้างบริการอะไรมาสนับสนุนลูกค้า แล้วมีทีมที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรบ้าง

เรามาพูดถึงข้อดีของการทำ Aligment diagram กันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

  • ตัว diagram มุ่งโฟกัสไปที่พฤติกรรมของคนในระบบนิเวศน์ เช่น ประสบการณ์ของนักเรียนในโรงเรียน
  • ปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับองค์กร Alignment diagram จะเป็นการโชว์ภาพช้าให้เราเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าลูกค้าได้คุณค่าอะไรไปจากเรา
  • การมองเป็นภาพประสบการณ์ผู้ใช้ถ้ามองเป็นภาพจะดีกว่าการเขียนเป็นรายงาน
  • ตัว diagram เป็น self-evidence ซึ่งบอกว่าองค์กรทำ service อะไรบ้าง
  • ความน่าเชื่อถือและความถูกต้อง หลายองค์กรทำ diagram ออกมาแล้วเป็นแค่แผนไม่เคยปฏิบัติได้ แต่ alignment diagram รวมลูกค้าลงในแผนภาพด้วยผ่านการวิจัยและสังเกตพฤติกรรมผู้ใช้

โครงสร้างของ Alignment diagram เราสามารถแบ่งโครงสร้างเป็น

  1. โครงสร้างของเวลา (Chronological) เพราะว่าประสบการณ์จะเกิดขึ้นเป็นลำดับของพฤติกรรมคน เวลาเราวาดแผนภาพก็จะวาดจากซ้ายไปขวาและเป็นเฟสๆ ไป เช่น ลูกค้าคาดหวัง เข้าสู่บริการ มีส่วนร่วมกับบริการ ออกจากบริการ และสะท้อนการบริการ
  2. โครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierachical) โครงสร้างแบบนี้ไม่ได้คำนึงเรื่องเวลา แต่จะพูดถึงหลายสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกัน การวาดภาพก็จะเป็นจากล่างขึ้นบนหรือบนลงล่าง โครงสร้างพวกนี้เหมาะกับ Mental model
  3. โครงสร้างแบบพื้นที่ (Spatial) เหมาะสำหรับประสบการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ เช่น 3 มิติ
  4. โครงสร้างเครือข่าย (Network) แสดงถึงการเชื่อมโยงคล้ายใยแมงมุม

โดยส่วนมากแผนภาพประสบการณ์ผู้ใช้จะเสนอในรูปแบบโครงสร้างของเวลา

Touchpoints

แนวคิดของ Touchpoints ก็คือวิธีการที่แลกเปลี่ยนคุณค่า ซึ่งตัวอย่างได้แก่ TV, ads, บรรจุภัณฑ์ บิล การจ่ายเงิน ซึ่งตอนนี้แบ่ง Touch point เป็นสามประเภท

  • Static ติตต่อสื่อสารทางเดียว เช่น จดหมาย ข่าว โฆษณา
  • Interactive เช่นเว๊ปไซด์ app
  • Human เช่น ตัวแทนจัดจำหน่าย หรือเซลขายของทางโทรศัพท์

Moments of Truth

วินาทีในการสร้างความประทับใจ ซึ่งก็คือการสร้างความประทับใจแรกพบ (First impression) เช่น การรอเข้ารักษาพยาบาลกับคุณหมอ ดังนั้นเราอาจจะต้องประเมิน Moment of Truth แต่ละ touch point หรือ จุดสัมผัส ในเรื่องนี้ผู้เขียนพูดถึง Zero moment of truth ซึ่งถ้าจะพูดว่าทำไมต้องเป็น 0 เราต้องมาดูก่อนว่าอันดับแรก หรือ First moment of truth คือ ตอนที่เราซื้อของหน้าร้าน เราต้องมีข้อมูลเพื่อตัดสินใจซื้อ โดยอาจจะถามพนักงานหน้าร้าน ส่วน Second moment of truth ก็คือหลังจากที่ใช้สินค้าหรือบริการลูกค้าก็จะประเมินบริการ ซึ่งลูกค้าที่ใช้สินค้าก็อาจจะเป็น Reviewer ส่วน Zero moment of truth ก็คือ ขั้นตอนที่อยู่ระหว่างสิ่งกระตุ้นคือสินค้ากับการตัดสินใจซื้อ เช่น การซื้อของลูกค้าอาจจะดูรีวิวลูกค้าคนอื่นใช้สินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ

Visualizing Strategic Insight

ก่อนที่จะมาสร้าง alignment map เราต้องทำการมองยุทธศาสตร์ให้ออกก่อน อย่างแรกคือต้องดูเรื่องของการแบ่งแยกตลาดหรือ market segmentation ปกติเรามักจะแบ่งตลาดผู้ซื้อไปตามเพศ อายุ รายได้ แต่จริงๆแล้วเราสามารถแบ่งตลาดตามความปรารถนาของผู้ใช้ เช่น ผู้ใช้บางคนต้องการมีความเป็นส่วนตัวสูง บางคนต้องการความน่าเชื่อถือ หรือบางคนต้องการลดเวลาการทำงาน อันนี้ลองนึกถึงซอฟแวร์ Zoom ที่เป็น video conference นะครับ เราจะเห็นว่าผู้ใช้หลายคนโดยเฉพาะครูในโรงเรียน cancel บริการออกเพราะเรื่องความปลอดภัยที่การประชุมออนไลน์เมื่อเกิดข่าวการโดนแฮกซ์ ในเรื่องของการทำยุทธศาสตร์ก็จะมีแผนภาพอีกหลายอันที่เราคงคุ้นเคยกัน เช่น แผนที่ยุทธศาสตร์ Balanced scorecard และ Strategy Canvas ของ Chan Kim แผนที่ Strategy Blueprint, Business Model Canvas และ Value proposition canvas  อันนี้อาจจะต้องไปหาอ่านเพิ่มเติมเองนะครับ

กระบวนการทั่วไปในการสร้าง mapping

  1. กำหนดเรื่องระดับของการเป็นทางการ บางแผนภาพอาจจะเป็นระดับของลูกค้า หรือระดับของทีม หรือระดับขององค์กร ถ้าเป็นระดับที่เกี่ยวของกับคนอื่นๆ มากก็ต้องมีผู้แทนจากส่วนนั้นเข้ามาร่วมในการสร้างแผนภาพด้วย
  2. กำหนดทิศทาง โดยดูว่ามีประสบการณ์ไหนที่จะใช้ ให้ลองคิดถึงว่าในระบบนิเวศน์ของการบริการนั้นมีใครบ้าง เช่น ลูกค้า ผู้ผลิต แล้วดูว่ามีการแลกเปลี่ยนในเชิงคุณค่าอย่างไร
  3. สร้าง Personas ซึ่งก็เป็นเรื่องราวของลักษณะของผู้ใช้ รูปแบบของพฤติกรรม ความต้องการและความรู้สึก ซึ่งถ้าจะทำ Personas แบบสั้นก็มี Proto-personas ที่ไม่ต้องทำการวิจัยผู้ใช้ แต่เกิดจากการระดมสมองของทีม 
  4. เลือกแผนภาพ แต่ละแผนภาพจะมีรายละเอียดที่ต่างกัน 
  • Service blueprint จะมองในเรื่องของการให้บริการที่มีฝ่ายสนับสนุน กระบวนการ การไหลของงาน มีส่วนที่เป็นด่านหน้าในการติดต่อลูกค้า แผนภาพให้นึกถึงทิศทางวิ่งขึ้นลงระหว่างลูกค้าและคนให้บริการที่อยู่ด้านล่าง
  • Customer journey map เน้นในเรื่องของความคิด ความรู้สึก ความประทับใจของลูกค้า และความพึงพอใจ ถ้าเป็นภาพให้นึกถึงเวลาจากซ้ายไปขวา ตั้งแต่กระบวนการที่ลูกค้าเข้ามาเจอบริษัทเรา ลูกค้าสำรวจ ตัดสิน และทำกระบวนการซื้อขายหรือบริการ จนกระทั่งสำเร็จ 
  • Experience map เน้นเรื่องพฤติกรรม เป้าหมาย และงานที่ต้องทำให้สำเร็จ  ความรู้สึกและ pain points แผนภาพนี้คล้ายคลึงกับ Customer jouney map ก็มีส่วนที่เป็นความรู้สึก และประสบการณ์เพิ่มขึ้น ก็จะมี scale การวัดประสบการณ์ 
  • Mental model diagram เน้นเรื่องแรงจูงใจ ความรู้สึกและปรัชญา ภาพก็จะเป็นลักษณะไม่ใช่ตามเวลาแต่จะเป็นลำดับชั้น อันนี้ให้นึกถึงแผนภูมิต้นไม้ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกัน แต่เป็นเหมือนเอา Post it notes มาปะเรียงกันเป็นแถวๆ 
  • Spatial map จะเน้นส่วนการไหลของข้อมูลและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ของระบบ 

หนังสือเล่มนี้ส่วนที่ผมชอบก็คือส่วนที่เขาใช้ Post it notes ซึ่งเป็นเครื่องมือแบบง่ายๆ มาสร้างแผนภาพ ซึ่งก็จะมีส่วนผสมของการทำ User research ลงไปกับการสร้างแผนภาพ พูดๆ ง่ายก็คือว่าการสร้างแผนภาพไม่ได้เกิดจากการมโนของนักออกแบบ ก่อนจะทำก็มีการสัมภาษณ์แล้วก็มีการ coding ข้อความของผู้ถูกสัมภาษณ์ออกมาเป็นประเด็น ในเล่มจะมีพูดถึงเรื่องการทำ workshop นั่นหมายความว่าเราอาจจะต้องพิมพ์แผนภาพออกมาขนาดใหญ่ หรือ ใช้ Post it note ปะบนกำแพงด้านหนึ่งเลยทีเดียว 

ส่วนที่เป็นความรู้สึกหรือ emotion ที่เป็นประเด็นในการวัดผลของความรู้สึกแต่ละช่วงของประสบการณ์ของการใช้ service ก็จะใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า Product Emotion Measurement instrument หรือ PrEmo ท่านสามารถไปหาเพิ่มเติมได้ในเว๊ปไซด์ เวลาเราทำกราฟความรู้สึกก็จะมีส่วนผสมของความรู้สึกทั้งบวกและลบ ตรงนี้ก็สามารถนำมาพล็อตรวมกันได้  เราสามารถนำ Persona แล้วเอาสิ่งที่ลูกค้าพูดมาพล็อตลงใน timeline ของประสบการณ์ได้

ในส่วนที่เป็นการออกแบบโมเดลสำหรับอนาคตก็ใช้แผนภาพพวก Storyboards, Scenario, Design Maps ซึ่งสิ่งที่ผู้เขียนสร้างสรรค์ที่มีความแปลกคืออ Customer Journey Mapping Game อันนี้คล้ายบอร์ดเกมส์ที่เอา Stakeholder มานั่งประจันหน้าเล่นกัน ในเรื่องของการประเมินก็จะมีการทดสอบตัวคอนเซ็ปท์เพื่อยืนยันว่าแผนภาพที่ออกแบบมาสามารถนำไปใช้ได้จริง ในส่วนเรื่องของการสร้างแผนภาพบางคนบอกว่าตัวเองไม่ใช่ graphic designer จะทำแผนภาพให้สวยได้อย่างไร ผู้เขียนแนะนำซอฟแวร์ออนไลน์ต่างๆ เช่น Smaply.com ที่สามารถทำ Persona และ customer journey map เว๊ป Canvanizer สำหรับการระดมสมองด้วย Post it notes และ touchpointdashboard.com ที่ทำ Journey map และสามารถวัดระดับของการ touchpoint

สรุปเราแบ่งวิธีการใช้แผนภาพซึ่งมีมากมายเราสามารถแบ่งออกได้เป็นสามส่วนคือ

  1. Individual ก็คือ ใครเป็นเจ้าของประสบการณ์นี้ แผนภาพที่ใช้ก็ได้แก่ Peraonas, proto-persona, consumer insigth map
  2. Context and goals ก็คือแผนที่ประสบการณ์ที่อธิบายบริบทของปฏิสัมพันธ์ งานอะไรที่จะต้องทำให้สำเร็จ ความต้องการ ความรู้สึก และแรงจูงใจคืออะไร ส่วนนี้ก็ใช้ 5 แผนภาพที่เป็น Service blueprint, Customer Jouney map, Experience Map, Mental Model และ Ecosystem map
  3. Model of future experience จะสร้างโมเดลสำหรับอนาคตได้อย่างไร โซลูชั่นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เราจะนำเสนอวิธีการประเมินอย่างไร