
หนังสือเล่มนี้ผมซื้อมาในช่วงสัปดาห์หนังสือ พูดถึงหลักคิดที่เรียกว่า Essentialism ถ้าแปลเป็นไทยคือ ยึดมั่นในสิ่งสำคัญ ซึ่งหมายถึง การมีอำนาจควบคุมการตัดสินใจของตนเอง ทุกคนอาจจะเคยประสบปัญหาเรื่องทำหลายสิ่งหลายอย่างแต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในบางช่วงชีวิตคุณอาจจะมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนหลังจากนั้นคุณก็ทำจนประสบความสำเร็จอะไรบางอย่างแล้วกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่น คุณได้ตำแหน่งสูงขึ้น หลังจากนั้นเราก็จะมีทางเลือกและโอกาสมากขึ้นก็จะมีคนมาเรียกร้องให้คุณสละเวลาและพลังงานมากขึ้น ทำให้คุณพยายามที่จะทำหลายสิ่งพร้อมกันมากขึ้นทุกที หลังจากนั้นเราก็จะไขว้เขวจากสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ และทำลายความชัดเจนที่เคยพาเราไปสู่ความสำเร็จตอนแรก ปัญหาที่กล่าวมาคือเรามีทางเลือกมากไปและทำสะเปะสะปะ ผู้เขียนวาดรูปวงกลมที่มีลูกศรแตกกระจายรอบทิศเหมือนดวงอาทิตย์ กับอีกอันคือมีลูกศรพรุ่งตรงไปข้างหน้าเส้นเดียว อันนี้อธิบายได้ชัดเจนเลยว่าเราใช้พลังงานไปกับอะไรมากที่สุด
ลองคิดดูครับว่าถ้าบริษัทลดการประชุมที่ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและมอบพื้นที่ให้กับพนักงานเพื่อให้พวกเขาคิดและทำงานที่สำคัญที่สุดของตัวเอง ถ้าสังคมบอกให้เราเลิกซื้อของมากขึ้น ซื้อของที่จำเป็น เลิกเชิดชูค่านิยมของการมีมากหันมาเชิดชูค่านิยมของการมีน้อย เปลี่ยนจากทำมากอย่างไร้วินัยไปเป็นทำน้อยแต่อย่างมีวินัย
เลือก
บทนี้เขียนไว้ดีมากว่าถ้าชีวิตนี้คุณทำได้แค่สิ่งเดียว คุณคิดว่าจะทำอะไร เพราะอำนาจในการเลือกไม่อาจถูกพรากหรือมอบให้ผู้อื่นได้ มีแต่จะถูกลืมเลือนไปเท่านั้น หมายความว่าไงครับ ได้มีการวิจัยเรื่อง ภาวะสิ้นหวังจากการเรียนรู้ โดย มาร์ติน เซลิกแมน

ขาทดลองโดยให้สุนัขไปอยู่ในกล่องทดลองที่มีพื้นที่ไฟฟ้าช๊อตเป็นช่วงๆ กับอีกข้างปลอดภัยจากการช๊อต พบว่าลูกสุนัขบางตัวปรับตัวที่จะกระโดดข้ามกระดานเพื่อไม่ให้โดนช๊อต อีกพวกไม่ปรับตัวซึ่งจริงๆ แล้วเราเลือกได้ ผู้เขียนได้เปรียบว่าอำนาจในการเลือกไม่อาจถูกพรากหรือถูกมอบให้ผู้อื่นได้มีแต่จะถูกลืมเลือนไปเท่านั้นและถ้าเราไม่เลือกก็จะมีคนมาเลือกให้เรา
คนที่บอกว่าเรามีแต่งานล้นเพราะเราคิดว่าทุกสิ่งสำคัญ บางคนอาจจะบอกตัวเองว่าสามารถทำได้ทุกสิ่งแต่ในความเป็นจริงมันเหมือนได้อย่างเสียอย่าง ดังนั้นกระบวนการของ Essentialism มีกระบวนการสำรวจแยกแยะดังนี้
ปลีกตัว
ใน d.school พื้นที่ในห้องเล็กๆ ที่อยู่ได้ไม่เกิน 3 คน ในนั้นไร้หน้าต่าง เก็บเสียง ไร้สิ่งรบกวน เป็นพื้นที่สำหรับให้นั่งคิดและจดจ่อช่วยให้พวกเขาสามารถถอยกลับมามองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ให้นักศึกษาได้ออกแบบชีวิตของตัวเอง แต่ละสัปดาห์จะมีการจัดสรรเวลาให้พวกเขาได้คิด โดยปราศจากมือถือ โน้ตบุ๊ก บิลเกตส์ก็เช่นกันมีเวลาปลีกตัวเพื่อใช้ไปกับการคิดและการอ่านหนังสือ ที่เขาเรียกว่าสัปดาห์แห่งการคิด
มองเห็นภาพรวม
ทุกคนมักจะหลงไปกับรายละเอียด ยกตัวเช่น นักบินสายการบินทำเครื่องบินตกไม่ได้เกิดจากส่วนสำคัญของเครื่องเสียหาย แต่เป็นเพราะนักบินสนใจเรื่องปัญหารายละเอียดข้อผิดพลาดพลาดของระบบตรวจล็อคล้อ ไฟกระพริบ และเสียงเตือนภัยแต่ลืมดูภาพรวมว่าเกิดปัญหาอะไร อันนี้เปรียบได้กับปัจจุบันเรามีสิ่งรบกวนมากมายแต่เราควรจดจ่อไปที่สาระสำคัญของข้อมูล และใส่ใจฟังสิ่งที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางสิ่งรบกวน
เขียนบันทึกประจำวัน การเขียนไม่ต้องเขียนให้มาก ให้เขียนน้อยๆ แต่เขียนทุกวัน ทุกๆ 90 วันให้คุณใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงอ่านบันทึกในช่วงนั้น พยายามจับประเด็นความสำคัญของเนื้อหาให้ได้
จับประเด็นที่สำคัญ อันนี้ให้นึกถึงนักข่าวที่เก่งเรื่องจับสาระสำคัญ การเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ คล้ายเส้นใยแมงมุม จับรายละเอียดพฤติกรรมที่ผิดปกติ
เล่น
การเล่นช่วยทำให้เราเห็นโอกาสที่ปกติแล้วเราไม่เคยมองเห็น เพราะการเล่นทำให้เกิดการสำรวจเพื่อแยกแยะสิ่งสำคัญได้ เราจะค้นพบแนวคิดใหม่หรือการมองแนวคิดเก่าๆ ในมุมใหม่ การเช่นจุดประกายให้เกิดการสำรวจเพื่อเพิ่มทางเลือกให้เรามองในมุมมองที่ไม่เคยเห็น และสร้างความเชื่อมโยงในแบบที่เราไม่เคยทำได้มาก่อน ยกตัวอย่างเช่นบริษัท Twitter ส่งเสริมการเล่นด้วยการแสดงตลก โดยเป็นแบบไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน ทำให้สร้างความคิดสร้างสรรค์
นอน
บางคนคิดว่าการอดหลับอดนอนเพราะเป็นคนขยัน เพราะแค่นอน 4-5 ชม.ก็พอแล้ว ได้มีการวิจัยที่บอกว่านักไวโอลินที่เก่งนอนถึง 8.6 ชั่วโมงต่อวัน พวกเขางีบตอนบ่าย 2.8 ชั่วโมง สิ่งนี้ทำให้เขามีสมาธิในการฝึกซ้อมมากกว่าเดิม
คัดเลือกงาน ปกติมักจะมีคนขอให้คุณทำงานจากหลายด้านทำให้คุณไม่มีเวลา ดังนั้นจึงมีกฎ 90% ที่ใช้ในการประเมินทางเลือก หากคุณให้คะแนนทางเลือกต่ำกว่า 90% ก็ให้ปรับเป็น 0 ก็คือไม่สำคัญ
กำจัด
- ชัดเจน หลายครั้งที่เรามักจะเห็นวิสัยทัศน์ขององค์กรเขียนอะไรที่กว้างแล้วก็จับต้องไม่ค่อยได้หรือสร้างแรงบันดาลใจไม่ไ้ด้ ดังนั้นเราควรเขียนจุดมุ่งหมายสำคัญให้เป็นรูปธรรม เช่น ตัดสินใจครั้งเดียวแทนการตัดสินใจพันครั้ง เราต้องถามตัวเองว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าทำสำเร็จแล้ว เช่น ถ้าเราบอกว่า No child leaves behind บางทีก็จะดูไกลไปว่าเมื่อไหร่จะประสบความสำเร็จแต่ถ้าเราใช้จุดมุ่งหมายเหมือนที่ แบรด พิตต์ นักแสดงชื่อดังบอกว่าเขาจะสร้างบ้านจำนวน 150 หลังที่ทนทานต่อพายุ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากกรณีพายุแคทรีนาถล่มที่สหรัฐ ดังนั้นเราควรใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมายสำคัญ เรื่องนี้ค่อนข้างยากเพราะต้องกล้า และมองการณ์ไกลเพื่อพิจารณาว่าสิ่งไหนสำคัญ
- กล้าที่จะปฏิเสธ บางครั้งเราอาจจะถูกขอร้องให้เลือก เช่น ขอให้ประชุมวันอาทิตย์เพราะเวลาเขาไม่ว่าง อันนี้ต้องกลับมาดูว่าถ้าเราตอบรับนั่นหมายความว่า เราก็จะสูญเสียอีกด้านหนึ่งไป เช่น เวลาอยู่กับครอบครัว คนที่เป็น Essentialism ต้องกล้าปฏิเสธอย่างแน่วแน่และนุ่มนวล และตอบตกลงเฉพาะกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ เราอาจจะบอกว่าฉันอยากทำอยู่แล้วแต่มีงานอื่นๆ ล้นมือ
- ถอนตัว ตรงนี้ผู้เขียนเตือนให้ระวังกับการเป็นเจ้าของ (Endownment effect) อันนี้ให้เราคิดว่าเรายังไม่ใช่เจ้าของ หรือเลิกกลัวเสียเปล่า บางครั้งเราสามารถเลิกฝืนสิ่งที่ไม่เหมาะกับตัวเอง หยุดรับปากคนอื่นแบบไม่คิดอันนี้ผมเป็นบ่อยชอบบอกว่าได้เลย ท้ายสุดก็ตกหลุมตัวเอง เราควรหยุดคิดสัก 5 วินาทีก่อนที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ใคร แล้วก็เลิกกลัวว่าจะพลาดโอกาสที่ยอดเยี่ยมไป
ตัดต่อ
- เราอาจจะต้องทำเหมือนนักตัดต่อภาพยนต์ คือ กำจัดรายละเอียดที่ไม่สำคัญนั้นออกไป นักตัดต่อที่ดีคือ คนที่ใช้วิธีการตัดต่อสิ่งต่างๆ ออกไปอย่างมีกลยุทธ์เพื่อเพิ่มสีสันให้กับแนวคิด ฉาก โครงเรื่องและตัวละคร การตัดต่อชีวิตก็คือ การตัดสินใจอะไรบางอย่างว่าจะเลือกทางไหนดี เราต้องยอมแข็งใจกำจัดทางเลือกหรือกิจกรรมที่อาจจะดี
- กำหนดขอบเขต เวลาเราทำงานเป็นทีมเราควรแจ้งสมาชิกในทีมแต่ละคนชัดเจนถึงความคาดหวัง ขอบเขตก็เหมือนกำแพงปราสาททราย ทันทีที่เราปล่อยให้ดัานหนึ่งพังทลาย ด้านที่เหลือก็จะถล่มลงหมด คนที่ไม่ยึดมั่นในสิ่งสำคัญมักคิดว่าหากมีขอบเขตจะถูกจำกัด แต่คนที่เป็น Essentialism จะมองว่าขอบเขตช่วยให้อิสระ สร้างขอบเขตไว้ล่วงหน้าเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการปฏิเสธคนอื่น ถ้าคนอื่นมีปัญหาแล้วเราไปช่วยเขาแก้ปัญหา นั่นเท่ากับว่าเราไม่ได้ช่วยเขาแต่เรากำลังมอบอำนาจให้เขา เมื่อไหร่ที่เรารับปัญหาคนอื่นมาแบกก็เท่ากับเราลดความสามารถในการแก้ปัญหาของพวกเขาลง
กันชน
กันชนคือสิ่งที่ป้องกันไม่ให้มากระทบเราหรือทำอันตรายต่อเรา ยกตัวอย่างเช่นในช่วงโควิดเราจะเห็นว่าเราไม่มีหลักประกันหลายอย่าง เช่น การตกงาน สุขภาพ อินเตอร็เน็ท ลักษณะเดียวกันเราต้องประเมินเวลาเพิ่มจากเดิม 50% จากเวลาทั้งหมด เช่น ถ้าจะวางแผนทำโครงการให้เสร็จก็ให้บวกเวลาเพิ่มไปอีก 50%
กำจัดอุปสรรค อันนี้ผมชอบมากครับ ผู้เขียนเล่าว่าได้มีการพานักเรียนไปปีนเขา แล้วมีคนที่เดินช้าอยู่ด้านหลังซึ่งทำให้หลงทางได้ง่าย ดังนั้นก็เลยจับคนที่เดินช้ามาอยู่ด้านหน้าก็ปรากฎว่า ขบวนการเดินทางก็จะช้าลง ดังนั้นให้กำจัดอุปสรรคโดยให้คนที่เดินช้าแบกเป้ให้น้อยลงจะได้เดินเร็วขึ้น ดังนั้นการแก้ปัญหาไม่ควรทำสะแปะสะปะ เราควรหาคนปีนเขาที่ช้าที่สุดให้เจอเสียก่อน หรือพูดอีกนัยคืออะไรเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการทำสิ่งสำคัญให้เสร็จ
ก้าวหน้า
ที่ประเทศแคนาดามีตำรวจคนหนึ่งที่ทำกลับข้างกับตำรวจปัจจุบันคือ การให้ใบสั่งความดี ก็คือการให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดูตั๋วหนังฟรี กับคนที่ทำถูกกฎหมาย เช่น ใส่หมวกกันน็อกขณะขับขี่จักรยานยนต์ ทำให้การกระทำผิดจาก 65% เหลือ 8% ตำรวจคนนี้ใช้เวลาสิบปีในการทำ เขาค่อยๆ ทำทีละเล็กน้อย จากนั้นก็ฉลองไปกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องก็จเป็นสิ่งที่ทรงพลังต่อการพัฒนาตนเอง
ภาวะลื่นไหล
คุณคงได้ยินเรื่องนักกีฬาจินตนาการภาพตัวเองก่อนแข่งขัน โดยลงรายละเอีดยทุกชั่วขณะ ในความเป็นจริงก็คือการทำกิจวัตรเพื่อเอื้อต่อการทำสิ่งสำคัญ และลงมือทำแบบไม่ต้องพยายาม เราอาจจะใช้ตัวกระตุ้นเพื่อให้เกิดกิจวัตรประจำวัน เช่น เปลี่ยนการตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อเช็ค facebook ในตอนเช้าเป็นตัวกระตุ้นให้เราอ่านหนังสือแทน
จดจ่อ
อันนี้เหมือนการรู้สึกตัวคือ ให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน เราไม่ควรทำงานสองอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ควรจดจ่ออยู่กับอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้อยู่กับปัจจุบัน โดยเราอาจจะนึกว่า ออะไรคือสิ่งสำคัญในตอนนี้ เราอาจจะปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อทำให้เราเกิดสมาธิ ถ้าเรายังมีอะไรที่จะทำในหัวก็ให้เขียนทุกอย่างที่แย่งชิงความสนใจและตัดอะไรที่ไม่สำคัญตอนนั้นทิ้งไป
จงเป็น
ในโลกปัจจุบัน คุณอาจจะพบว่า เมื่อคนอื่นอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์กำลังแข่งกันเรียกความสนใจ คุณพบว่าตัวเองกำลังรออยู่ข้างสนามจนกว่าจะถึงเวลาฉายแสง การใช้ชีวิตกับสังคมที่วุ่นวายตลอดเวลานั้นเป็นการปฏิวัติแบบเงียบๆ การเลือกที่จะได้เล่นกับลูก ๆ บนแทรมโพลีนแทนที่จะไปงานเลี้ยงสานสัมพันธ์ การเลือกที่จะไม่เข้าเว๊ปไซด์สังคมอออนไลน์หนึ่งวันต่อสัปดาห์เพื่อที่จะใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่
สรุป
- หากเราไม่จัดลำดับความสำคัญให้กับชีวิตตัวเองคนอื่นจะจัดให้คุณ
- อำนาจในการเลือกไม่อาจถูกพรากหรือถูกมองให้ผู้อื่นได้ มีแต่จะถูกลืมเลือนไปเท่านั้น
- คนที่ไม่ยึดมั่นในสิ่งสำคัญจะคิดว่าเกือบทุกสิ่งมีความสำคัญ
- เราอาจจะไม่เชื่อในการได้อย่างเสียอย่างแต่ถึงอย่างไรเราก็หนีมันไม่พ้น
- ถ้าอยากอยู่ในภาวะจดจ่อเราจำเป็นต้องปลีกตัวเพื่อจดจ่อ
- การเล่นไม่เพียงช่วยเราสำรวจเพื่อแยกแยะสิ่งสำคัญเท่านั้นมันยังมีความสำคัญในตัวเองด้วย
- สิ่งสำคัญสูงสุดที่เราต้องทำคือ การปกป้องความสามารถในการจัดลำดับความสำคัญ
- หากพูดคำว่าใช่ได้ไม่เต็มปากก็พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ไม่
- คนที่ยึดมั่นในสิ่งสำคัญสร้างผลลัพธ์ได้มากว่าด้วยการกำจัดมากขึ้นแทนที่จะทำมากขึ้น