
Visual thinking ไม่ใช่พรสวรรค์ ทุกคนสามารถวาดภาพได้แต่เพราะตอนเด็กอาจจะถูกละเลยเรื่องนี้ ถ้าเราไม่พัฒนาทักษะของการวาด 75% ของเซลประสาทในสมองก็จะถูกล็อค หนังสือเล่มนี้ช่วยในเรื่องของการใช้สมองและใช้ภาพในการสร้างผลกระทบ ผู้เขียนกล่าวว่ามันไม่ใช่ Rocket science แต่ให้เทคนิคต่างๆที่ง่ายต่อการใช้งาน สิ่งที่สำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ เขาต้องการที่จะให้คนใช้จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และสไตล์ และที่ไปมากกว่านั้นก็คือมันสามารถช่วยในด้านธุรกิจได้ด้วยการวาด แหมพูดถึงเรื่องธุรกิจมันเกี่ยวกับการวาดได้อย่างไรก็น่าสนใจแล้วครับ
เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณวาด
- จัดลำดับความคิด
- แพทเทิร์ทและลิงค์ชัดเจนมากขึ้น
- มุมมองที่หลากหลายเกิดขึ้น
- สรุปการประชุม
- จัดการข้อมูล
- ทำให้ง่าย
- พัฒนาไปเรื่อยๆ
- ได้ไอเดียใหม่ๆ
- คนจะลืมโฟกัสบนสิ่งเล็กๆ หรือสิ่งที่ไม่ตรงประเด็น
- ทำให้เรื่องราวที่ต้องการสื่อสารเข้าถึงง่าย
ทักษะเบื้องต้นของการวาด
บางคนอาจจะบ่นว่าวาดรูปไม่เป็นแต่จริงๆ แล้วถ้าคุณสามารถเขียนได้คุณก็วาดรูปได้ การวาดรูปเปรียบเสมือนความกล้า ถ้าเราทำตัวเหมือนเด็กเราก็จะวาดรูปคนที่เป็นไม้ สังเกตไหมครับว่าถ้าเราวาดเส้นไม่กี่เส้นเราก็สื่อสารได้แล้ว แต่ถ้าเราเพิ่มเส้นมากขึ้นก็จะทำให้ซับซ้อน
- การควบคุมความเร็ว เมื่อต้องการเร็วให้เร็วเพื่อที่จะให้การวาดมันไหลลื่น ส่วนรายละเอียดก็ให้ช้าฃ
- เวลาวาดรูปสี่เหลี่ยมสามเหลี่ยมวงกลมให้ปิดมุมทุกมุมอย่าวาดแล้วเปิดมุม
วัสดุและสี
ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ Marker สีดำและสีเทาสำหรับการสเก๊ตช์และการทำเงา เขาแนะนำให้ใช้ Neuland marker ที่เป็นปากกาวาด Flipchart เพราะมันมีความลื่นและหมึกไม่ซึมลงบนกระดาษมากนัก ในเมืองไทยอาจจะไม่มีขายยี่ห้อนี้ แต่เมืองไทยมีหลายยี่ห้อครับ เช่น Copic Touch Seikai บางคนถ้าแท้กลิ่นทินเนอร์ก็ใช้แอลกอฮอล์เบส ถ้าเราใช้สีเดียวอาจจะดูน่าเบื่อ แต่ถ้าเราใช้อีกสีเช่นโดยเอาสีเทามาวาดเป็นเงาของวัตถุ หรือ ลูกศรก็จะทำให้เราเห็นลำดับความแตกต่างของสิ่งที่เราเน้น สีเป็นตัว Highlight องค์ประกอบที่สำคัญ
การวาดหน้าคน
- วาดด้วยสามจุดก่อน ปกติสมองเราจะสังเกติหน้าคนด้วยจุดเพียงแค่ 3 จุด ถ้าเราวาดจุดบนวงกลมที่แตกต่างกันเราก็จะเห็นว่าหน้าเราในมุมมองต่างกัน เช่น มองขึ้น มองล่าง
- ให้ใส่คิ้วและปาก จะทำให้สื่อถึงอารมณ์ เช่น ยินดี เศร้า อันนี้ให้นึกถึง Emoticon ก็คือวาดคนหัวล้านนี่แหละครับ
Interaction
การวาดการ์ตูนที่มีคนปฏิส้มพันธ์กันก็ให้วางเป็นรูปบอลลูน ท่านลองนึกถึงหนังสือการ์ตูนสมัยก่อนที่เป็นรูปคำพูด หรือสิ่งที่นึก ตัวบอลลูนนี่ก็มีหลายแบบ เช่นทรงสี่เหลี่ยม วงกลม เส้นปะ
การวาดรูปคน
วิธีวาดง่ายมากครับ ก็คือวาดตัวหัวกับลำตัวและขา ตัวลำตัวคล้ายกับตัวยูตีลังกากลับหัว ส่วนตัวขาก็วาดเป็นก้างได้เลยครับ
การวาดลูกศร
ลูกศรช่วยบ่งบอกทิศทาง เช่น เส้นทาง Roadmap หรือ Diagram ซึ่งวิธีวาดลูกศรให้วาดจากเส้นสองเส้นขนานกันไปก่อนแล้วค่อยวาดปีกและหัวลูกศรท้ายสุด
เทคนิคการเขียนตัวอักษร
- ให้มีช่องไฟระหว่างตัวอักษร
- เวลาวาดคำพูด ให้วาดเป็นเส้นกรอบ layout ไม่ต้องเก็บรายละเอียดภายใน เช่น ตัว O ก็ไม่ต้องวาด รูตรงกลาง
การวาดบน Flipchart
ให้วาดกรอบด้านนอกแต่หัวมุมซ้ายบนเป็นตัวอักษรที่มีกรอบไปวิ่งชน
Visual Storytelling
การเล่าเรื่องโดยภาพเป็นเทคนิคที่ทำให้เข้าถึงผู้ดู การใช้ภาพจะช่วยเน้นหลายมุมมอง โดยการแตกรายละเอียดไปในส่วนที่จัดการได้ และจัดลำดับของการกระทำ ขั้นตอนมีดังนี้ครับ
- Understand เข้าใจ ให้ชี้ชัดว่าต้องการที่จะบรรลุผลอะไร อะไรคือสถานการณ์ที่คุณต้องการบรรลุ
- Redefine Objectives ชี้ชัดเรื่องวัตถุประสงค์ คิดถึงเรื่องใจความที่จะสื่อ ใครเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเนื้อเรื่อง สร้างตรรกะของเนื้อเรื่องและทดสอบกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้รู้ถึงจุดยืนของสิ่งที่เราวาด
- Ideate ออกแบบ สร้างและพัฒนา visual concept ที่สนับสนุนเรื่องราว จำเป็นต้องจับความหลากหลายทางด้านการมองและมุมมอง
- Visualize วิธีการนำเสนอมีสองแบบคือ แบบที่เป็นการนำเสนอ Presentation board เรื่องราวที่ไม่ต้องการ input ของผู้ร่วมงาน อีกอันคือ Activation board คือรู้คร่าวๆ ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรแต่ยังไม่สามารถที่จะทำนายผลลัพธ์ที่ปรากฎได้ ลักษณะก็คือต้องเชิญชวนคนดูใส่เนื้อหาลงไปในบอร์ด
วางแผนในการเขียนบนบอร์ด
การเล่าเรื่องด้วยการเขียนก็มีทิศทางซึ่งปกติเราจะวาดจากบนลงล่าง ในที่นี้จะแนะนำทิศทางของการเขียน
A. The List มีทิศทางจากบนลงล่าง เหมาะสำหรับการเขียน Agenda โปรแกรม หรือตารางงาน
B. Steps มีทิศทางจากล่างขึ้นบน เหมาะกับงานพวก Roadmap และงานพวกคำนวณ
C. The Timeline ใช้แสดงขั้นตอนของเวลาจาก a ถึง z ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลง
D. The Road อันนี้คือวาดรูปเข้าจุดโฟกัส เหมาะสำหรับการวาด customer journey
E. Mandala วาดจากตรงกลางออกไปเหมาะสำหรับการระดมสมอง โดยไม่มีปลายทางจำกัด เหมาะสำหรับการเชื้อเชิญคนอาจจะใช้ Post it notes และมีการผสมไอเดียกัน
F. The Matrix แสดงข้อมูลโดยการแบ่งเป็นส่วนๆ คล้าย SWOT analysis หรือ Do and Don’t
Metaphor หรือ theme จะใช้มาตอนด้นสด คือวาดในที่ workshop ซึ่งทำให้มีปัญหากับคนวาดเพราะบางทีคิดไม่ทัน เช่น ในที่ประชุมระดมสมอง กระบวนกรมักจะต้องแปลงคำพูดออกมาเป็นภาพ บางคนอาจจะมีปัญหาว่าจะว่า metaphor อะไร ในความเป็นจริงผู้เขียนให้ลองคุยกับผู้ชมขณะวาดรูป และลองเล่นกับคำคม Cliche คีเช่ เช่น ‘เงินไม่ได้งอกเงยบนต้นไม้’ อันนี้เราก็อาจจะวาดโครงร่างทั้งหมดเป็นต้นไม้ หรือ Tip of the iceberg ก็คือยอดภูเขาน้ำแข็ง เราก็วาดเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ลอยน้ำอยู่ ในหนังสือนี้ก็จะมี template ต่างๆ ที่เราเอาไปใช้ได้ เช่น roadmap iceberg Harry Potter ในแต่ละอันก็จะมีองค์ประกอบต่างๆ เช่น ใน methaphor ก็จะมีภูเขาน้ำแข็ง สมอเรือ ทุ่นระเบิด
Visual thinking in business settings
การใช้วิธีการคิดเป็นภาพในธุรกิจเพื่อที่จะทำให้ทีมสามารถมองเห็นเป้าหมายโดยมีเทคนิคต่อไปนี้ ซึ่งในหนังสือได้บอกเป็น method เลยครับว่าใช้งานอย่างไร ซึ่งมีทั้งหมด 9 วิธีการตามกระบวนการ design process
1.Shaping your vision ได้แก่ Vision board ที่ช่วยวาดเป้าหมายโดยเอา vision statement ไว้ตรงกลาง แล้วระดับความคิดเห็นของ stakeholder ต่างๆ
- Goal settings ได้แก่ Road to the future ก็คือ roadmap
- Information sharing ได้แก่ Kanban board
- Decision making ได้แก่ Option comparison table, six thinking hats
- Exploring markets ได้แก่ Customer segments
- Idea generating ได้แก่ Card mapping และ Paper prototyping
- Problem solving ได้แก่ War room collaboration zone, fish bond cause and effect diagram
- Prototyping ได้แก่ Minimal Viable Product [MVP]
สรุป
- การใช้ Visual thinking นอกจากจะเป็นเทคนิคการวาดแล้วยังเสริมทักษะอีกหลายด้าน เช่น การจินตนาการ การสื่อสาร
- เราสามารถฝึกทักษะการวาดแบบง่ายๆ ก่อน โดยวาดเป็น component เล็กๆ แล้วค่อยขยายไปด้วยการวาดลูกศร แบรนด์เนอร์
- เวลาวาดควรดูทิศทางการเขียนบนบอร์ดว่ามีทิศทางอย่างไร อันนี้ขึ้นกับเรื่องที่จะเขียน เช่น เป็น list หรือ timeline
- การวาดอาจจะต้องคิดถึง methaphor ต่างๆ ที่ใช้ในการวาด
- การคิดเป็นภาพจะช่วยในเรื่องของธุรกิจในด้านการคิดร่วมกันบนเทคนิคต่างๆ เช่น Roadmap, Kanban