สร้างสรรค์อย่างมั่นใจ

คำว่าความคิดสร้างสรรค์จริงๆอยู่ในทุกคนตั้งแต่สมัยอนุบาล จากผลสำรวจของ IBM พบว่า 1500 CEO บอกว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นสมรรถนะที่สำคัญของผู้นำ ในปี 2005 David ได้ก่อตั้ง d school ซึ่งชื่อทางการก็คือ Hasso Plattner Institute of Design และสอน Design Thinking ซึ่งพยายามที่จะดึงความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนออกมา David บอกว่าความคิดสร้างสรรค์จะไม่เป็นผลเลยถ้าเราไม่กล้าหาญเพียงพอที่จะใช้ไอเดียเหล่านั้นซึ่ง การคิดและการทำคือที่มาของคำว่า Creative Confidence เขาบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องย้ายอาชีพหรือย้ายไปทำงานที่ Silicon Valley เพื่อที่จะเปลี่ยนวิธีคิด คุณไม่ต้องมาเปิดบริษัทที่ปรึกษาหรือลาออกจากงานเพราะโลกนี้ต้องการคนสร้างนโยบาย ผู้จัดการ หรือเอเย่นต์อสังหาริมทรัพย์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เขาพูดถึงว่าดาไล ลามะ กล่าวว่าความคิดสร้างสรรค์ในภาษาทิเบตไม่มี แต่ใกล้เคียงกับคำว่าธรรมชาติแทน ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้สืบทอดจากพันธุกรรมแต่มันอยู่ในธรรมชาติของทุกคน

FLIP – From Design Thinking to Creative Confidence

ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ที่ Doug ลูกค้ารายหนึ่งที่ทำงานให้ GE healthcare ซึ่งโครงการเขาคือการทำเครื่อง MRI ก็คือเป็นอุโมงค์ที่เอาร่างกายของเราเข้าไปสแกน เขาพบว่าเด็กมีความกลัวเครื่องนี้มากเพราะเสียงตอนสแกนค่อนข้างดัง ผู้เขียนเลยชวน Dough เข้ามา Workshop ที่เน้นเรื่อง human-centered design process โดยเขาได้ไปสังเกตและพูดคุยกับผู้ใช้ คุยกับหมอ คุยกับผู้เชี่ยวชาญพิพิทธภัณฑ์เด็ก ท้ายสุด Doug ก็ได้ออกแบบเป็น Adventure series โดยใส่กราฟฟิคเป็นเรือโจรสลัดเมื่อเด็กเข้าไปก็จะมีเสียงระเบิด ปรากฎว่าเด็กชอบมากและขอผู้ปกครองให้มาอีก

เรื่องราวของ Doug แสดงให้เห็นวิธีการของ Human-centered design ซึ่งมีองค์ประกอบสามอย่างคือ ปัจจัยทางเทคโนโลยี ซึ่งทางซิลิคอนวาเลย์มีเต็มที่ ตั้งแต่ Segway จนถึงสุนัขหุ่นยนต์ ปัจจัยที่สองคือ ปัจจัยทางธุรกิจ ซึ่งหมายความว่าต้องเอาเทคโนโลยีไปทำธุรกิจให้ได้ ส่วนปัจจัยที่สามคือ ปัจจัยมนุษย์ อันนี้ไม่ใช่ Human Factor แบบทางด้านการยศาสตร์นะครับ ผมว่าควรใช้คำว่า Users’ desireable มากกว่า ก็คือความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งทำด้วยการ Empathy

IDEO ได้มีกระบวนการออกแบบอยู่สี่ขั้นในการสร้างนวัตกรรมคือ 1.​ Inspiration โดยการสังเกตพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ 2.Sythesise ก็คือ sense-making ซึ่งมีวิธีที่เรียกว่า empathy map และใช้ How might we ในการหาความเป็นไปได้ 3. Ideation and experiment โดยการค้นหาไอเดียที่เป็นไปได้ อันนี้ก็จะมีกระบวนการทำซ้ำ และรวดเร็ว หยาบๆ 4. Implementation ก็คือการนำการออกแบบไปสร้าง roadmap เพื่อออกสู่ตลาด 

ผู้เขียนได้พูดถึง Design Thinking ก็คือ methodology อันนี้ผมก็เคยพูดไปแล้วว่ามันก็คือ Design methods ใน Episode ที่แล้ว ซึ่งผู้เขียนจะเน้นว่าเป็นการสร้างแนวคิดสร้างสรรค์แนวใหม่ หลังจากนั้นผู้เขียนก็เล่าถึง D school ซึ่งเปิดที่ Standford ในปี 2000 เป็นลักษณะ interdiscipline ที่ไม่ได้ปริญญาแต่ได้ credit จากการลงทะเบียนเรียน เขาได้พูดถึงว่าได้เปิดวิชาให้ครูและเด็ก K-12 Lab ซึ่งมีคนลงเรียน 500 คนต่อปี อันนี้จะเห็นได้ว่า design thinking ได้แพร่ไปทางโรงเรียนในเวลาต่อมา ผู้เขียนเล่าว่าส่วนที่ทำให้คนเปิดใจในการค้นหาความคิดสร้างสรรค์ของตนเองก็คือ Growth mindset หรือความคิดเชิงบวก 

David ผู้เขียนได้เป็นเพื่อนกับ Steve Jobs ตอนที่ Steve อยู่บริษัท NeXT เขาชื่นชม Steve มากว่าเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นคนละเอียด ซึ่งเป็นตัวอย่างของ Creative confidence เพราะ Steve พูดคำหนึ่งที่ว่า Make your dent in universe ก็คือทำให้จุดนั้นเด่นขึ้นมาในจักรวาล ซึ่งดูได้จาก motto ของ Apple คือ Think difference

DARE – From Fear to Courage

ในบทนี้จะพูดถึงความกลัวซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ ผู้เขียนกล่าวว่าถ้าเราผิดพลาดเร็วเท่าไหร่ก็จะประสบผลสำเร็จในด้านนวัตกรรมเท่านั้น เขาเสนอให้ทำโครงการเล็กหลายๆชิ้นมากกว่าทำโครงการใหญ่หนึ่งชิ้น มีวลีหรือที่ Diego Rodrigez ผู้ที่เป็น partner ชอง IDEO พูดว่า Failure sucks, but instruct ซึ่งหมายความว่าความผิดพลาดนั้นมันแย่ แต่มันช่วยสอนเราได้ ส่วนหนึ่งที่เป็นไอเดียที่ดีที่ผมชอบมากคือ Faiture resume ของ Tina ที่พูดถึงความผิดพลาดของตนเองและชี้ชัดถึงปัญหาที่เธอไม่ได้ใส่ใจในวัฒนธรรมองค์กรและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของความสัมพันธ์ส่วนตัว ปัจจุบันเธอได้เป็นผู้อำนวยการของ Stanford Technolgy Venture program 

David ได้เล่าถึงประสบการณ์เพื่อนของเขาชื่อ Brain ได้ปั้นดินเหนียวที่เป็นม้าแล้ว เพื่อนเขาบอกว่ามันดูแย่มาก มันดูไม่เหมือนม้า Brain ก็เลยเสียความเชื่อมั่นและไม่เคยปั้นดินเหนียวอีกเลย ซึ่งแสดงถึงความผิดพลาดในการตัดสินคนอื่นว่าไม่เก่งแบบโน้นแบบนี้ มากไปกว่านั้นโรงเรียนหลายแห่งเอาวิชาศิลปะออกจากโรงเรียนแล้วเน้นด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ซึ่งตรงนี้ตรงข้ามกับการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องการใจที่เปิดกว้าง การอยู่ใน comfort zone หรือ Played it safe ก็ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ไม่เกิด

ผู้เขียนได้พูดถึงความมั่นใจในการวาดรูป ซึ่งจริงๆแล้วคนที่ไม่ได้จบจากสายศิลปะจะไม่กล้าวาดภาพ ผู้เขียนพูดถึง Dan ที่เป็นผู้ทำเว๊ปไซด์ Napkin Academy ก็คือวาดการ์ตูนบนกระดาษทิชชู่เช็ดปาก ซึ่งถ้าเราสามารถวาดรูปทรงพื้นฐานเช่น สี่เหลี่ยม วงกลม สามเหลี่ยม เส้น และ รูปทรงคล้ายดอกไม้(Blob) เราก็สามารถวาดได้แล้ว ถ้าเป็นคนก็ให้วาดแบบคนก้างปลาที่เน้นคามรู้สึก โดยวาดวงกลมแล้วก็วาดหน้าตา ส่วนถ้าเป็นการกระทำก็วาดตัวเป็นสี่เหลี่ยมไม่เน้นศรีษะแต่ให้เห็นท่าทาง เช่นตกปลา นอนหรือว่าง ส่วนถ้าเป็นความสัมพันธ์ก็วาดให้เห็นภาพรวมคนก็อาจจะดูเหมือนตัวดาวก็ได้ ให้พยายามเพิกเฉยคุณภาพของการวาดแต่ให้คำนึงถึงคุณภาพของไอเดีย

SPARK – From Blank page to Insight

ผู้เขียนได้เล่าถึงนักศึกษา MBA ของเขาได้ไปสำรวจโรงพยาบาลที่ประเทศเนปาลแล้วพบว่ามีคนบริจาคตู้ดูแลเด็กแรกเกิดแต่ทุกตู้ว่างเปล่า สาเหตุเป็นเพราะว่าแม่เด็กอยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาล และมันเป็นการยากที่แม่เด็กจะพาลูกของตนเองมาโรงพยาบาล ซึ่งประเทศเนปาลค่อนข้างหนาวอาจจะทำให้เด็กที่น้ำหนักไม่มากตอนเกิดมีโอกาสเสียชีวิตได้ นักเรียนเขาชื่อ Linus เลยออกแบบผ้าลูกฝูกแบบพาราฟิน ถ้าดูลักษณะก็มีรูปร่างคล้ายผ้าห่มน่ารักแบบหนอน ที่ข้างในมีเครื่องทำความร้อนและปรับอุณหภูมิได้ 

เรื่องนี้สอนให้รู้ถึงการ Spark idea โดยการ

  1. เลือกความคิดสร้างสรรค์ พยายามมองปัญหาในทางใหม่เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา กล้ารับความเสี่ยง ต่อสู้กับอุปสรรค และเพิ่มความฉลาดทางปัญญา
  2. คิดเหมือนนักเดินทาง พยายามสังเกต ทำตัวเหมือนผู้ไม่รู้  สังเกตรายละเอียดต่างๆ ดูเรื่องราวไอเดียใหม่ๆ เช่น อ่าน blog ที่ประหลาดๆ ฟังเพลงสไตล์ใหม่ๆ เดินทางด้วยเส้นทางใหม่ๆไปทำงาน ฟัง TED talk
  3. ผ่อนคลายในความคิด ไอเดียใหม่ๆ มักจะเกิดถ้าเราไม่ไปเพ่งที่งานเกินไป 
  4. เห็นอกเห็นใจผู้ใช้ คำว่า Empathy คือ เส้นทางที่ทำให้เกิดความแปลกใหม่ของ insight ที่สร้างสรรค์ไอเดียของคุณ 

ผู้เขียนได้พูดถึงเทคนิคการเก็บข้อมูล ได้แก่ การสังเกต ยกตัวอย่างเช่น นักวิจัยได้สังเกตคนที่ใช้ไม้ตักไอศรีมพบว่า ผู้ใช้ได้เลียไม่ตักไอครีมหลังการใช้งาน เลยคิดว่าควรจะออกแบบไม้ตักไอติมที่ปลอดภัยกับลิ้น หรือ mouth-friendly scoop ผู้เขียนได้พูดว่าถ้าเราจะค้นหาความต้องการของผุ้ใช้ที่ซ่อนเร้นเราสามารถหาความต้องการของผู้ใช้ได้ทุกที่ 

Latent needs เป็นสิ่งที่เราอาจจะทำไม่ได้จากการถามผู้ใช้โดยตรงดังนั้น จึงต้องมีเทรคนิคต่างๆ IDEO สร้าง Human-centered design Toolkit ได้แก่ 

  • Show me – ให้ผู้ใช้แสดงสิ่งต่างๆ ในบ้านและเราก็ถ่ายรูปและจดบันทึก
  • Draw it – ตอนสัมภาษณ์ให้ผู้ใช้วาดรูปประสบการณ์หรือเขียนแผนผัง
  • Five Why’s – ถามคำถามแล้วเจาะลึก เหมือนเจ้าหนูจำไม
  • Think aloud – ให้เขาพูดดังๆออกมาว่าคิดอะไรในใจขณะทำงาน อันนี้จะพบเรื่องแรงจูงใจ ทัศนคติ และเหตุผล

การ Reframe คำถามจะช่วยให้เราเห็นทิศทางใหม่ๆ เทคนิคนี้ทำด้วย

  • การถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว เช่น แทนที่จะออกแบบที่จับหนู แต่ให้ reframe ว่าทำให้บ้านปลอดหนูได้อย่างไร 
  • เสนอทางเลือกอื่นๆ John F Kendeny สุนทรพจน์ที่ฮิตปากคือ อย่าถามว่าประเทศนี้ทำอะไรให้คุณ แต่ให้ถามว่าคุณทำอะไรให้ประเทศ
  • ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงว่าจริงๆแล้วสาเหตุคืออะไร เช่น คนไม่ต้องการซื้อสว่านมาเจาะบ้านสำหรับแขวนภาพแต่เขาต้องการรูแขวนภาพ
  • หาวิธีการก้าวผ่านความต้านทาน ในประเทศกำลังพัฒนาถ้าเราถามเด็กว่าทำไมถึงกินน้ำจากแหล่งน้ำสกปรก คนอาจจะต่อต้านและบอกว่าแม่ของเขาผิดตรงไหนที่ให้ดื่ม แต่ถ้าเราเปลี่ยนคำถามใหม่ไปถามพ่อแม่เด็กว่า คุณภาพน้ำอย่างไหนที่อยากให้ลูกทาน

สร้างเครือข่ายสน้บสนุนความคิดสร้างสรรค์

ส่วนนี้ก็ได้แก่การคบมิตรที่เก่งเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เช่น ชมรม หรือชุมนุม เช่น Creative digital community ในประเทศไทยอาจจะหายากหน่อยแต่ก็มีครับ เช่น กลุ่ม UX/UI meet up bangkok หรือ กลุ่มที่อาจจะไม่ใช่กลุ่มนักออกแบบ เช่น กลุ่มโพรงกระต่ายของอาจารย์วรภัทร์ ภู่เจริญ เมื่อเรามีกลุ่มแล้วเข้าไปคุย ความคิดสร้างสรรค์ก็จะเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยน

ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือ ปลุกความคิดสร้างสรรค์ด้วยการบังเอิญ

อันนี้มีตัวอย่างทางการทดลองทางวิทยศาสตร์เยอะมาก เช่นการค้นพบโดยบังเอิญ ถ้าท่านเคยได้ยินยางที่มีชื่อว่า Goodyear ซึ่งมาจากนักวิทยาศาสตร์ชื่อ Charles Goodyear ได้พยายามแก้ปัญหาของยางที่เวลาหน้าหนาวจะแข็งและหน้าร้อนจะเหนียวเหมือนกาว เขาลองคิดว่าน่าจะผสมซัลเฟอร์กับยาง เขาก็นวดยางไปมาแล้วก็บังเอิญที่ไปตกลงที่เตาย่าง เขาเลยเรียกยางนี้ว่ายางวัลคาไนท์ เขาก็ได้จดสิทธิบัตรตัวยางนี้แหละครับ นี่ครับเป็นสาเหตุที่ความบังเอิญช่วยทำให้เกิดนวัตกรรมแต่ต้องมีการสังเกตด้วยครับ ไม่ใช่ทดลองแล้วไม่สังเกต

LEAP from Planning to Action

ในบทนี้ผู้เขียนเล่าการที่จะมี Creative confidence จะต้องมีความคิดที่จะทำ การกระทำจะทำให้แตกต่าง

วิธีการที่จะค้นหาความคิดสร้างสรรค์ คือ ทำ Bug list หรือ รายการของปัญหาที่เจอ บางสิ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เรามาไม่สามารถแก้ไขได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมไปซื้อที่ฉีดกันยุงที่เป็นตะไคร้มาแล้วตัวหัวพ่นสเปรย์เป็นสีขาวเนื้อเดียวกับฝา พอตอนกลางคือค่อนข้างมือผมก็มองไม่ค่อยเห็น ผมก็ฉีดออกแต่ดันฉีดเข้าตาตัวเอง ดังนั้นถ้าเราจด bug list เหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้เราตั้งคำถามเช่น How might we? 

เช่น How might we เปลี่ยนหัวสเปรย์เป็นสี หรือ How might we ใส่ลูกศรพรายน้ำบนหัวฉีด

หยุดวางแผนและเริ่มทำ Stop planning and start acting

ผู้เขียนได้พูดถึงบริษัท Kodak ที่ทำฟิลม์ถ่ายรูปและประดิษฐ์ภาพถ่ายดิจิทัลในปี 1975 ซึ่งโกดักได้มีส่วนแบ่งตลาด 90% โกดักได้ทำผิดพลาดในเรื่องการเตรียมความพร้อมจากฟิลม์มาเป็นดิจิทัล ซึ่งโกดักยึดติดกับธุรกิจเคมีในการล้างอัดฟิลม์ที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ โกดักพลาดที่จะเปลี่ยน Insight ไปเป็นความพยายามที่จะทำให้ได้ผล ทำให้บริษัทโกดักได้สูญเสียตลาดไป 

ปัญหาหนึ่งของคนที่ชอบคิดแต่ไม่ทำคือ การผลัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งเรามักจะอ้างเหตุผลต่างๆ นา ๆ ว่าเราไม่ได้ทำสักที ดังนั้นผู้เขียนเสนอวิธีการที่เรียกว่า Action Catalysts

  1. Get Help หาคนมาช่วยแล้วแชร์ให้พวกเขารู้ถึงวิธีการใหม่ในการทำให้ก้าวหน้า
  2. Create peer pressure ผู้เขียน David เชื่อว่าถ้ามีคนมากำกับเสมอก็จะมีแรงกดดันให้ทำ เช่น จ้าง trainer ในการออกกำลังกาย
  3. Gather an audience ลองคุยกับคนอื่นเรื่องไอเดียใหม่ๆ เพื่อให้ได้ feedback
  4. Do a bad job หยุดการตัดสินใจ โดยอาจจะเริ่มอะไรที่อาจจะดูเหมือนแย่ก่อนแล้วค่อยปรับปรุง เช่น ช่วงแรกๆ ของผมที่ทำ Vlog นี่ไม่ค่อยเท่ากับช่วงหลังๆ เพราะเราไม่มีทักษะแต่เราสามารถพัฒนาทักษะได้ในอนาคต
  5. Lower the stakes พยายามลดความสำคัญ ถ้าเราคิดว่าจะทำงานให้ดีสุด มันอาจจะทำให้เราทำไม่สำเร็จเพราะต้องทำด้วยคุณภาพ ให้ลองลดความคาดหวังลงและลงมือทำ

การสร้างข้อจำกัดในการทำ

  1. พยายามสร้างข้อจำกัดเพื่อให้แก้ปัญหาได้  ผู้เขียนเล่าถึงตัวอย่างการโหวตไอเดียโดยบน Post-it notes เช่นเอาสติกเกอร์ติดบนไอเดียแต่ต้องบอกว่าต้องการไอเดียที่สามารถเราสามารถทำได้เดี๋ยวนี้
  2. จำกัดเป้าหมาย ให้ทำเป้าหมายให้เล็กที่สุดเพื่อที่จะให้เกิดการปฏิบัติ เช่น แทนที่จะบอกว่าจะไปเป็นเจ้าภาพแจกอาหารที่ประเทศเขมรแต่ให้ลองทำกิจกรรมที่เล็กก่อนโดยการแจกซุบไก่ในชุมชนท้องถิ่น
  3. สร้างไมล์สโตน เมื่อทำโครงการนวัตกรรมที่ยาวให้ทำวันส่งงานขนาดเล็กหลาย ๆ จุด

Experiment to Learn การทดลองเพื่อเรียนรู้

เหตุผลที่ทำต้นแบบคือการทดลอง ดังนั้นการทำต้นแบบที่ถูก เร็ว ง่าย ในภาษาของ Lean Startup ก็จะมีคำว่า MVP หรือ Minimum viable product คือการทำให้น้อยใช้ความพยายามไม่มากเพื่อที่จะได้รับ feedback

ต้นแบบทำใน 1 ชม. ที่ IDEO มีการทำ iPhone app เช่น Sesame street โดยเขาอยากให้ผู้ใช้กดการ์ตูนชื่อ Elmo วิธีการทำต้นแบบใน 1 ชม.​ คือ พิมพ์กรอบไอโฟนขนาดใหญ่แล้วเอาคนแสดงอยู่ด้านหลัง แล้วคนข้างหน้าก็กดที่จมูกคนข้างหลังก็เต้น แล้วก็อัดวีดีโอไว้ 

ทริปของการทำวีดีโออย่างเร็วคือ

  1. ให้เขียน script ก่อน ให้เขียนเนื้อเรื่องว่าจะทำอะไรจะทำให้ประหยัดเวลาตอนถ่ายทำ 
  2. ใช้การพากษ์เสียงเพื่อเป็นทางลัด 
  3. จัดการถ่ายทำว่าจะถ่ายมุมไหน
  4. ใช้แสงและเสียงเป็นองค์ประกอบ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องลงทุนแต่มันทำให้งานดูดีกว่าถ่าย home video
  5. ดูจังหวะการเปลี่ยนกล้อง ไม่ใช่กล้องเดียวทำตลอดเรื่อง
  6. พยายามหา feedback ให้เร็วที่สุด ลองให้คนดูแล้วถามเขาว่าช่วยสรุปคลิปนี้ใน 1 ประโยค
  7. ยิ่งสั้นยิ่งดี ถ้าคลิปยาวเกิน 2 นาทีคนดูอาจจะไม่ดู

นอกจากนี้การทำต้นแบบยังมีทำแบบต้นแบบประสบการณ์ เช่น จำลองสภาวะแวดล้อม การทำต้นแบบจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ

SEEK from Duty to Passion จากหน้าที่ไปถึงแรงบันดาลใจ

บทนี้พูดถึงบางคนต้องการที่จะทำงานตามหน้าที่หรือทำงานในสิ่งที่แรงบันดาลใจ ผู้เขียนเล่านักเรียนหลายคนที่มาเรียน Stanford ได้ลงพื้นที่ภาคสนาม นำเสนอไอเดียกับนักลงทุน สัมภาษณ์คนที่คาดว่าจะเป็นผู้ใช้ และทำกระบวนวนลูปของการออกแบบ  สิ่งที่ทุกคนควรหา sweet spot ในตนเองเราอาจจะตั้งคำถามบนสามวงกลม คือ อะไรที่คุณทำแล้วดีที่สุด อะไรที่คุณอื่นยอมจ่ายเงินให้คุณไปทำ และอะไรที่คุณเกิดมาเป็น ให้พยายามทำในสิ่งที่คุณรักแล้วเงินก็จะตามมาเองและเราอาจจะต้องกล้าที่จะกระโดดออกจาก comfort zone ของตนเอง

TEAM Creatively confident groups

ในบทนี้น่าสนใจครับเพราะปัญหาส่วนใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงให้เป็นองค์กรสร้างสรรค์คือ แรงเสียดทาน บางคนในบริษัทอาจจะสงสัยว่าวิธีการใหม่ๆ มันจะใช้ได้จริงเหรอ หรือไม่ได้เห็นคุณค่าของมัน ในความเป็นจริงแล้วผู้เขียนแนะนำให้คนที่ทำงานมีประสบการณ์กับมันมากกว่ามานั่งฟัง lecture ในห้องอบรม ถ้าต้องการให้มี Creative confidence เราต้องสร้างระบบนิเวศน์ในทีมงาน เช่น ในทีมรู้สีกโอเคไหมที่จะเสี่ยงหรือทดลองไอเดียใหม่ๆ  ไอเดียมีการไหลไหม จริงๆแล้วไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของไอเดียเพราะทุกคนช่วยกันคิดบนไอเดียชองคนอื่น 

ทีม IDEO มักจะเป็น multidisiciplinary มากกว่าสาขาใด สาขาหนึ่ง ดังนั้นคนในทีมต้องรู้ว่าใครเก่งอะไร ให้แชร์เรื่องราวส่วนตัวตอน Kick off meeting สร้างความสัมพันธ์กันระหว่างทีม และทำให้สนุกในการที่อยู่ด้วยกัน เช่น เล่นเกมส์ ปีนเขาด้วยกัน

IDEO ได้มีการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการออกแบบ เพราะเราจะสร้างสรรค์ไม่ได้ถ้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้ส่งเสริมการสร้างสรรค์ บริษัท Steelcase ได้เป็น Partner ของ IDEO มีการสร้างพื้นที่แปลกๆ เช่น พื้นที่คล้ายยานอวกาศแบบกึ่งปิดกึ่งเปิดที่ให้พนักงานเข้าไปประชุม พื้นที่การทดลองก็ไม่ควรที่จะมีข้อกำหนดมาก เช่น ห้ามปะกระดาษบนกำแพงเพราะสีจะลอก 

ใช้ภาษาเพื่อสร้างวัฒนธรรม คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเขาไม่สามารถทำได้ เราควรเปลี่ยนปัญหาต่างๆ มาเป็นคำพูด Positive เช่นคำว่า How Might We? 

  • How = มีความเป็นไปได้ในการพัฒนา
  • Might = ไอเดียที่สามารถ breakthrough ได้
  • We = ความเป็นเจ้าของร่วมกันในงานที่ท้าทาย

มีคำถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเป็นนักออกแบบถึงทำ Design Thinking ได้ คำตอบคือไม่จำเป็นบริษัท P&G ไ้ด้พิสูจน์แล้ว ทุกคนต้องคิดว่า workshop มีค่าเท่ากับเวลาที่เขาเสียไป การอบรมอาจจะต้องอบรมศาสตร์ต่างๆ ทั้งหมด ตอนนี้บริษัทมี faciliator 300 คน 

Move Creative Confidence to Go

บทนี้ก็จะพูดถึงวิธีการต่างๆที่จะสร้างความคิดสร้างสรรค์มีทั้งหมด 10 ตัวอย่าง  เช่น Mind mapping,  Thirty circle exercise, Empathy map, Customer Journey map

อันที่อยากพูดถึงคือ Empathy map ก็คือให้แบ่งกระดาษออกเป็นสี่ส่วน คือ ส่วนบนสุดก็คือ 

  • Say ตรงนี้ให้ปะ Post-it notes ว่าผู้ใช้พูดอะไร ถ้าสีเหลืองหมายถึงกลางๆ สีชมพูดหรือแดงหมายถึงกระสับกระสน วัตถุประสงค์ไม่ใช่บันทึกทุกอย่างแต่ให้จับสิ่งที่โดดออกมา 
  • Do อยู่ด้านล่างซ้าย อันนี้ให้ดูจากการสังเกตภาคสนาม เช่น Observation
  • Think อยู่ด้านบนขวาของกระดาษ และ Feel อยู่ด้านขวาล่าง ให้จับดูเรื่องภาษากาย โทนการพูด การเลือกคำพูด

ท่านสามารถหาเครื่องมือหรือ Methods ของ IDEO สามารถดาวโหลดได้ฟรีที่

https://www.designkit.org/

NEXT Embrace creative confidence

บทนี้เหมือนเป็นบทสรุปของเล่ม

  1. ให้ทดลองกับประสบการณ์ เพื่อค้นหาความต้องการที่ซ่อนเร้น
  2. รอบๆ ตัวเราต้องมีเครือข่ายสนับสนุน พวกวัฒนธรรมองค์กรและสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนความคิดสร้างสรรค์
  3. หาชุมชนด้านนวัตกรรม  เว๊ปไซด์เกี่ยวกับชุมชนที่ใช้ OpenIDEO อันนี้ผมชอบมากเพราะเขาจะหา Sponsor มาช่วยกันออกแบบเพื่อโลกที่ 3 

https://www.openideo.com/

  1. เรียนรู้ตอลดเวลา เช่น เรียนออนไลน์ เข้า workshop ในเมืองไทยการอบรม design thinking เยอะมากครับ
  2. เริมต้นออกแบบชีวิตของเรา ลองเอาเราเป็นโครงการแล้วลองสำรวจตัวเองโดยการสังเกต ทำไดอารี่ สร้างไอเดียที่เป็นไปได้จากทางธุรกิจ เทคโนโลยีและความต้องการ
  3. บริษัทสร้างสรรค์ พยายามที่จะใส่พฤติกรรมสร้างสรรค์ในตัวคุณและทางทีม
  4. สร้างบนกระบวนการที่มียู่ ถ้าแรกๆ ไม่ควรคิดวิธีการใหม่ๆ ให้ลองใช้วิธีการของ IDEO ก่อน พยายามคิดว่า Design thinking ไม่ใช่ทำใน workshop แต่อยู่ในชีวิตประจำวัน
  5. การส่งมอบงานสองเท่า ให้พยายามเอาพฤติกรรมสร้างสรรค์มาทำในงานตัวเองและเสียสละเวลาไปช่วยอีกโครงการ
  6. ทำกิจกรรมนอกเวลา เช่นการจัด innovation book club หรือเป็นเจ้าภาพอาหารกลางวันสำหรับผู้เชี่ยวชาญ
  7. สร้างแล๊ปนวัตกรรม เหมือนที่ Apple สร้างทีมแม็คอินทอช