Sprint แก้ปัญหาใหญ่และทดสอบไอเดียภายใน 5 วัน
Using Design Sprint to solve big problems and test new ideas in just five days
— Sakol Teeravarunyou
สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่ Human see design นะครับ วันนี้เราจะมารีวิวหนังสือเล่มหนึ่งนะครับที่ชื่อว่า Sprint how to solve big problems and test new ideas in just five days เขียนโดย Jake Knapp จาก Google Ventures นะครับ Jake เป็นวิทยากรที่จัด workshop มามากว่า 100 ครั้งในบริษัทชื่อดังต่างๆ เช่น Slack, Medium และ อูเบอร์ หนังสือเล่มนี้แสดงเกี่ยวกับกระบวนการออกแบบ และ method ต่างๆ ตั้งแต่ตั้งเป้าหมายจนไปถึงการทำต้นแบบ ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของการใช้ Sprint ก็เพื่อที่จะลดเวลาในกระบวนการออกแบบแทนที่จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึงหนึ่งปี ก็ลดลงมาเหลือแค่ 5 วันเท่านั้น ฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าอยากอ่านขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับว่าเขาทำได้อย่างไร มันยากมากที่จะออกแบบและทำต้นแบบภายใน 5 วัน ถ้าดูจากวงจรการสร้างไอเดีย แล้วมาที่สร้าง และ launch ผลิตภัณฑ์ แต่ sprint จะทำ shortcut คือ ทำไอเดียสร้างให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้เกิดเรื่องการของการเรียนรู้ข้อผิดพลาดได้เร็ว Fail fast – learn faster
ในหนังสือเล่มนี้คนเขียนเรียงลำดับบทต่างๆได้ดีพอสมควร เพราะเขาเรียง chapter ต่างๆ ตามแบบวันตั้งแต่จันทร์ถึงวันศุกร์และก็มีตัวอย่าง case study มากมาย เช่น หุ่นยนต์โรงแรม Blue bottle coffee แต่ก่อนที่เราจะไปพูดถึงแต่ละวันนะครับ บทแรกที่เขาพูดถึงคือ Set the Stage หรือการเตรียมเวที ที่ Jake หมายถึงก็คือ ทีม เขาพูดถึงทีมที่เรียกว่า Ocean’s 7 ซึ่งได้แก่ Decider หรือ CEO, Finance experts อาจจะเป็นผู้จัดการพัฒนาธุรกิจ Marketing expert คนที่สื่อสารองค์กร เช่น PR Customer Expert คือ คนที่คุยกับลูกค้า เช่น ฝ่ายขาย นักวิจัยหรือ customer support, Tech expert คือ คนที่รู้กระบวนการผลิต เช่น วิศวกร และตำแหน่งสุดท้ายคือ Design expert คือ นักออกแบบหรือ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์
อันถัดมาที่เขาพูดถึงก็คือเรื่องของเวลาและสถานที่ โดยปกติเขาจะให้ทุกคนมีสมาธิจดจ่อกับ workshop ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ โดยไม่ต้องไปทำงานอย่างอื่นเลย เวลาที่เริ่มดีสุดคือ 10 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น โดยจะมีอาหารกลางวัน กฎเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้คือ ห้ามโน๊ตบุ๊ค โทรศัทพ์ iPad หรืออะไรที่จะทำการรบกวนการทำ workshop แต่เขาก็ไม่ได้กำหนดกฎตายตัวว่าห้ามใช้ เขาบอกว่าเราสามารถเช็คโทรศัพท์ระหว่างพักหรือออกจากห้องไปเช็คโทรศัพท์ ฟังดูเหมือนคนสูบบุหรี่เลยไหมครับ สิ่งสำคัญที่ต้องอีกอย่างคือ กระดานใหญ่ๆ และนาฬิกาจับเวลา ในเล่มนี้เขาก็โฆษณานาฬิกานับถอยหลังหรือที่เรียกว่า Time timer ผมได้ซื้อไว้หนึ่งเครื่องโดยสั่งจาก amazon ได้เลยครับ แต่ถ้าท่านไม่มีก็ใช้ app ก็ได้ชื่อ Visual timer สามารถดาวโหลดจาก app store
เอาหละครับเรามาเริ่มเลยดีกว่า บทที่สองก็คือ วันจันทร์ ในบทนี้จุดสำคัญก็คือ ตั้งเป้าหมายระยะยาว เหมือน Mission to the moon ของยาน Apollo 13 เช่น เราต้องการให้ลูกค้าสั่งซื้อเม็ดกาแฟออนไลน์ เราก็จะเขียนว่าเป้าหมายสุดท้ายคือ การซื้อ หลังจากนั้นเราก็ทำแผนที่ โดยให้ลูกค้าอยู่ด้านซ้ายสุด แล้วเอาเป้าหมายไว้ขวาสุด ในระหว่างลูกค้ากับเป้าหมายก็เป็นกระบวนการ เช่น เยี่ยมชมเว๊ปไซด์ เปรียบเทียบราคา เลือกเมล็ดกาแฟ แล้วถึงซื้อ ให้โยงความสัมพันธ์ตั้งแต่ต้นจนปลายโดยลูกศร หลังจากนั้นเรียกผู้เชี่ยวชาญที่เป็น CEO มารีวิว สิ่งที่ผมชอบสำหรับบทนี้คือ การใช้ Post it note และเขียนว่า How Might We ซึ่งพัฒนาโดย Procter & Gamble ในปี 1970 ให้แต่ละคนเขียนหนึ่งประโยคบน Post it notes เช่น ถ้าจะขายเมล็ดกาแฟ เราก็อาจจะเขียนว่า How might we ensure coffee arrive fresh? คือเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ากาแฟจะมาถึงมือลูกค้าแบบสด ข้อดีของการใช้ HMW ก็คือ แทนที่เราจะคิดแต่ปัญหาแล้วแก้ไม่ออก เราก็เปลี่ยนมาเป็นคำถามที่เกิดความคิดสร้างสรรค์แทน หลังจากนั้นก็เอา HMW ที่ทุกคนเขียนมาจัดกลุ่มแล้วก็ให้ทุกคน Vote เพื่อที่จะเอาไปใส่ในแผนที่ ผมชอบตรงนี้ของ Sprint มากเพราะเหมือนประชาธิปไตยจริงๆ เขาจะแจกสติกเกอร์สอง dot ขนาดใหญ่ให้แต่ละคน ส่วน Decider จะได้สี่อัน
พอถึงวันอังคารก็มาต่อเนื่องโดยทำสี่ขั้นตอน 1.การทำรายการ ให้ทุกคนในทีมเขียนรายการของผลิตภัณฑ์หรือบริการแล้วให้ทุกคนนำเสนอภายใน 3 นาที ตอนเขานำเสนอ ก็จะมี facilitator คอยจดบนกระดานสำหรับไอเดียใหญ่ ขั้นที่ 2 ก็ Jot down idea ต่อจากนั้นก็เอาไอเดียมาออกแบบโดยอาจจะใช้ Post it notes ขั้นที่สามทำ crazy 8 คือ การพับกระดาษ A4 ออกมาเป็น 8 ช่องแล้วสเก๊ตช์ไอเดียอย่างรวดเร็ว ตรงนี้ทุกคนสามารถวาดได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักออกแบบ ขั้นที่ 4 คือ สเกตช Solution
พอถึงวันพุธคือ การตัดสิน เราก็จะเอาไอเดียที่ทำบน Post-it note มาปะคล้าย Art museum แล้วก็ให้โหวตโดยใช้สติ๊กเกอร์ dot อีกครั้งบนไอเดียที่เจ๋ง หลังจากนั้นให้ก็ให้ทำ Storyboard ถ้าทำ app ก็จะเป็นรูปหน้าจอของมือถือนี่แหละครับ อาจจะตีตารางแล้วแล้วมีภาพสเก๊ตช์ต่างๆ
วันพฤหัส เขาตั้งชื่อได้เก๋เลย คือ Fake it อันนี้ไม่ใช่การทำของปลอมนะครับ แต่เป็นการทำต้นแบบ เราสามารถทำต้นแบบโดยใช้โปรแกรมพวก Keynote หรือ Powerpoint ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ก็อาจจะพิมพ์วัตถุจากเครื่องพิมพ์สามมิติได้ ตอนทำต้นแบบต้องแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจะมี Maker 2 คน Sticher 1 คน Writer 1 คน Asset Collector 1 คน และ Interviewer 1 คน Maker ก็คือคนทำต้นแบบ Sticher ก็คือคนเอาสิ่งที่ทำต้นแบบมาประกอบกัน ส่วน Writer เป็นคนที่แต่งข้อความในต้นแบบ ส่วน Assset collector ก็เป็นคนที่เก็บสะสมภาพ ไอคอน ตัวอย่าง ส่วนคนที่เป็น Interviewer หรือคนสัมภาษณ์ก็จะมาใช้กับวันศุกร์เพื่อไปสัมภาษณ์ผู้ใช้ ให้เขาตั้งคำถามและนัดคนที่จะมาทดสอบไว้
วันศุกร์ ก็เป็นวันทดสอบต้นแบบ โดยการทำ Usability testing นี่แหละครับ ให้ลูกค้าลองมาเล่นต้นแบบแล้วคนสัมภาษณ์ก็นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากทดสอบ ก็เอาผลการทดสอบมาเรียนรู้กันในทีม หรือ Learn ให้จัดกลุ่มผู้ใช้กับการใช้งานต่างๆ บนกระดานแล้วเปรียบเทียบการใช้งานแต่ละ user หลังจากนั้นก็ comment
หนังสือเล่มนี้ยังทำ checklist ไว้หลังเล่มเพื่อให้คนที่จัด workshop สามารถนำไปใช้ได้สะดวก เอาหละครับเดี๋ยวผมจะสรุปแต่ละบทว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้คืออะไร
- Set the stage ให้สร้างทีม Ocean 7 เตรียมอุปกรณ์กระดาน นาฬิกาจับเวลา
- วันจันทร์ ตั้งเป้าหมายระยะยาว สร้างคำถาม sprint ทำแผนที่
- วันอังคาร สมาชิกในทีมนำเสนอ Lightning demo แล้วก็สเก๊ตช์แบบสี่ขั้นตอน
- วันพุธ วันตัดสิน ให้ทุกคนโหวต ทำ Heat map
- วันพฤหัส ทำต้นแบบ แบ่งหน้าที่กันทำต้นแบบ เขียนบทสัมภาษณ์สำหรับทดสอบผู้ใช้
- ทดสอบ เก็บความคิดเห็น แล้วก็เรียนรู้หลังการทดสอบ
ครับจะเห็นได้ว่า วิธีการทำ Sprint ต้องการความเร็ว และไม่ได้มีการทำ user observation เหมือนกับ design thinking ซึ่งเขาพยายามใช้ผู้เชี่ยวชาญมาที่รู้เรื่องดีและทำการออกแบบและทดสอบด้วยผู้ใช้ในการปิดท้ายสุด อย่างนี้ก็ทำให้ลดเวลาลงไปได้ สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณที่อยู่ฟังยาวเหยียด ถ้ามีอะไรก็ inbox ถามมาได้นะครับ แล้วพบกับรายการ Human see design ใน episode หน้าครับ
ฟัง Podcast
